Than a perfume กว่าจะมาเป็นน้ำหอม

กว่าจะเป็นน้ำหอม

น้ำหอม

คือส่วนผสมที่ปรุงให้เข้ากันอย่างดีจากธรรมชาติ และสารเคมีที่สังเคราะห์ขึ้นตามความคิดสร้างสรรค์ การสื่อความหมาย และชนิดของวัตถุดิบนำมาปรุงโดยนักปรุงน้ำหอม(Perfumer)ไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนในสัดส่วนของการ การปรุง
บางทีอาจมีส่วนผสมเพียง 1- 2 ชนิด หรืออาจจะมีมากเป็นร้อยชนิดก็ได้

น้ำหอมแต่ละชนิดถูกปรุงมาเพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกัน เช่นน้ำหอมสำหรับบุรุษ หรือสตรี
และยังมีการจำเพาะเจาะจงลงไปในรายละเอียดอีกด้วย

เป็นต้นว่าน้ำหอมสำหรับอิสตรีผู้มีความอ่อนโยนแต่แฝงไว้ด้วยพลังอันเข้มแข็งผู้ปรุงน้ำหอมจะต้องจดจำกลิ่นต่างๆที่ผ่านเข้ามาในโสตประสาท และสามารถจำแนกกลิ่นต่างๆได้เป็นอย่างดี ตลอดจนการสื่อความหมายของกลิ่นแต่ละกลิ่นและที่สำคัญคือการเข้าถึงอารมณ์ของผู้ใช้ด้วย เรียกว่าเป็นศาสตร์และศิลป์ขั้นสูง จึงได้มีสถาบันสอนการปรุงน้ำหอมเกิดขึ้นในต่างประเทศ ผู้เรียนต้องใช้เวลาปลายปีเพื่อที่จะได้เป็นนักปรุงน้ำหอม
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกว่าจะมาเป็นน้ำหอมให้เราได้ใช้ในชีวิตประจำวัน

 

ภาพวาดจิตรกรรม ฝาผนังตอนหนึ่งที่เมือง Thebes ในประเทศ Egypt ที่เป็นรูปของหญิงสาวชาวอียิปต์โบราณกำลังชโลมน้ำหอมลงบนศีรษะ และยังมีหลักฐานอื่นๆที่แสดงให้เห็นว่า ได้มีการใช้เครื่องหอมเหล่านี้ในพิธีกรรมต่างๆ ชาวอียิปต์โบราณบูชาเทพเจ้าของเขาด้วยเครื่องหอมและน้ำมันหอมระเหย ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นสิ่งจำเป็นในการเฉลิมฉลองพิธีการต่างๆทางด้านศาสนาและ ประทินความงามของสตรี ชาวกรีกเดินทางกลับจากการแสวงหาโชคต่างแดนด้วยการนำเครื่องหอมใหม่กลับมา ด้วย ในขณะที่ชาวโรมันโบราณเชื่อว่าน้ำหอมมีคุณสมบัติด้านการบำบัดโรคร้ายได้ วิวัฒนาการด้านการปรุง “น้ำหอม” เริ่มเป็นที่แพร่หลายในยุโรปช่วงต้นศตวรรษที่ 14 ในยุคเรอเนสซองซ์วัฒนธรรมการปะพรมน้ำหอมถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ของชนชั้นสูงในราชสำนัก และพวกที่มีฐานะทางสังคม และต่อมาก็ได้แพร่ความนิยมไปสู่สามัญชนทั่วไปความเจริญก้าวหน้าในด้านอุตสาหะกรรมเคมี ในศตวรรษที่ 19 ทำให้มีการผลิตน้ำหอมสังเคราะห์ ตลอดจนน้ำหอมที่สกัดจากธรรมชาติ และการประดิษฐ์ขึ้นของน้ำหอมกลิ่นใหม่ การผลิตน้ำหอมในเชิงทางการค้าได้เริ่มขึ้น
ความนิยมในการปลูก ดอกมะลิ กุหลาบ และต้นส้มเพื่อการค้าในสมัยนั้น ส่งผลให้เมือง Grasse ในฝรั่งเศสกลายเป็นศูนย์กลางที่ใหญ่ที่สุดสำหรับการผลิตวัตถุดิบจากพฤกษา ซึ่งใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตน้ำหอม สถานที่แห่งนี้จึงได้ขนานนามว่า เมืองแห่งน้ำหอม

 

gucci

 

การวิจัยมากมายที่แสดงว่า น้ำหอมหรือกลิ่นมีผลต่อคนเราโดยตรง โดยอาจจะลดความเครียด จนถึงการเพิ่มความรู้สึก (Mood). และยังพบว่าน้ำหอมจะทำให้การหลับของเรามีคุณภาพมากยิ่งขึ้น และอาจจะปลุกความทรงจำที่เราอาจจะลืมเลื่อนไปได้ ดังตัวอย่างต่อไปนี้ Stree Reduction (การลดความเครียด) การวิจัยพบว่าการใช้น้ำหอมในคนเราสามารถช่วยลดความเครียดได้ นักค้นคว้าที่ Sloan-Kettering Cancer ที่ New York ได้พบว่าน้ำหอมลดอาการเครียดของคนไข้ที่ได้รับอาการจากMegnatic resonance imaging (MRI) จากการทดลองให้คนไข้ได้รับกลิ่นน้ำหอมทำให้ลดอาการที่ว่าไปได้ถึง 63% Quality of Sleep (การหลับอย่างมีสุข)
การวิจัยโดยDr. Peter Badia จาก Bowling Green State University, Department of Psychology ได้ผลการวิจัยออกมาเป็น 2 หัวข้อใหญ่เพื่อศึกษาว่ากลิ่นมีผลต่อการนอนของคนเราหรือไม่ การศึกษาพบว่าพฤติกรรมและจิตใจเราขณะหลับยังสามารถรับรู้ถึงกลิ่นต่างๆได้ เป็นอย่างดี แล้วในการทดสอบต่อโดยการให้ผู้ทดลองได้รับกลิ่น มะลิ, เปเปอร์มินท์,และไม่ได้รับกลิ่น ผลปรากฏว่าว่า กลิ่นมะลิจะทำให้ผู้ทดสอบตื่นขึ้นมาอย่างสบายตัว เปเปอร์มินท์จะทำให้รู้สึกว่าตื่นขึ้นมาอย่างผวา ซึ่งจากการวิจัยแสดงให้เห็นว่าการได้กลิ่นระหว่างการนอนหลับมีต่อการหลับได้ เป็นอย่างดี

 

Memory (ความทรงจำ)

เป็นการตอบสนองที่น่าทึงที่สุดที่ได้จากน้ำหอม ทุกคนจะมีประสบการณ์เกี่ยวกับความรู้สึก ไม่ว่าจะดีหรือร้าย หลังจากได้กลิ่นน้ำหอมต่างๆกัน เช่นกลิ่นของรถคันใหม่เอี่ยมที่คุณพึ่งถอยออกมาจากห้าง ซึ่งประสบการณ ์เหล่าเกิดขึ้นจากการได้กลิ่นเพียงครั้งเดียว
Dr. Trygg Engen, professor of psychology at Brown University, พบว่าความสามารถใน การจำกลิ่นของคนเรามีมากกว่าความสามารถในการจำภาพที่เราเห็น คนเราจะสามารถจำ กลิ่นได้แม่นยำเกือบ 65% ภายในระยะเวลาหนึ่งปี เทียบกับการจำภาพแค่ 50% ในเวลาแค่ 4 เดือน ซึ่งเป็นผลมาจากส่วนประสาทในสมอง “memory bank” ซึ่งการรับกลิ่นของคนเราจะถูกควบคุมโดยLimbic System ซึ่งเป็นระบบที่ควบคุมความรู้สึก (Emotion)และการตอบสนองทางเพศ, ศิลปะและอื่นๆ ซึ่ง Limbic System จะเก็บรวบรวมความรู้สึกต่างๆที่เรามีประสบการณ์ไว้ น้ำหอมทำให้เรารู้สึกSexy, กระชับกระเชง,แข็งแรง, สะอาด, มีความสุข,อ่อนหวาน, สร้างสรรค์, และ ความรู้สึกอื่นๆอีกมากมาย คนเราจะตอบสนองน้ำหอมกลิ่นต่างๆไปในแบบที่ต่างกัน ความเป็นไปได้ที่น้ำหอมจะมีผลต่อการตอบสนองนั้นไร้ขีดจำกัด กลิ่นต่างๆที่จะสัมผัสได้หรือไม่ได้ได้เข้ามา อยู่ในชีวิตประจำวันของเรา คนเป็นล้านอาจจะต้องตายไปถ้าไม่สามารถได้กลิ่น ของควันไฟเมื่อเกิดเหตุไฟไหม้ เราใช้ความรู้สึกในการดมเพื่อแยกอาหารที่เสีย “มนุษย์เรา, ดังบรรพบุรุษของเรา สามารถรับรู้ถึงกลิ่นของพวกเราเองและกลิ่นที่เกิดตามธรรมชาติเช่น กลิ่นของต้นไม้,ดอกไม้หรืออาหาร. ซึ่งเป็นกลิ่นที่ถูกสร้างจากธรรมชาติและถูกออกแบบ ออกมาเป็นกลิ่นต่างๆ ที่เราสามารถพบในน้ำหอมที่มีขายทั่วไป

จุดสำคัญที่ต้องฉีดน้ำหอม

การใส่น้ำหอม ต้องเป็นความรู้สึกหรือประสบการณ์ที่น่ารื่นรมย์ ระยะห่างในการฉีด ประมาณ 6 นิ้วจากตัวคุณ จุดสำคัญที่ต้องฉีดน้ำหอม ได้แก่ ลำคอ, บนแขน และที่ด้านหลังหัวเข่าอีกนิดหน่อย เพราะอย่าลืมว่ากลิ่นหอมมักจะลอยตัวขึ้นด้านบน การฉีดน้ำหอมเล็กน้อยที่ด้านหลังหัวเข่า จะให้ผลลัพธ์ความหอมแบบ “ทั่วเรือนร่าง” อย่างแท้จริง และอีกจุดคือ ฉีดน้ำหอม ไปในอากาศด้านหน้า และ “เดินผ่าน” ละอองน้ำหอม (อย่าลืมหลับตา! ขณะเดินผ่าน) จะทำให้ละอองน้ำหอมติดกระจาย อยู่บนเส้นผมคุณด้วย เทคนิคการเติมน้ำหอมในระหว่างวัน การเติมน้ำหอมระหว่างวัน ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นและลักษณะพิเศษ (คาแรคเตอร์) ของน้ำหอมแต่ละชนิด เช่น น้ำหอมที่มีพื้นฐานของกลิ่นพรรณไม้ตะวันออก (Oriental & Woody) มักจะติดทนนานกว่ากลิ่นหอมจากดอกไม้หรือผลไม้ (Floral & Citrus) หรือน้ำหอม Eau de Parfum จะมีกลิ่นน้ำมันหอมที่เข้มข้นกว่า Eau de toilette หรือ Cologne ก็จะกลิ่นติดทนนานกว่า แต่จุดที่สำคัญที่ต้องระลึกไว้เสมอ คือ น้ำหอมที่ดีมีคุณภาพจะถูกพัฒนาคิดค้นให้กลิ่นติดทนนาน และมีคาแรคเตอร์เฉพาะตัวที่น่าสนใจ ซึ่งหลังจากฉีดครั้งแรกกลิ่นจะติดอยู่นานอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมง ก่อนที่จะต้องเติมอีกครั้งเมื่อเปิดจุกน้ำหอมหรือแต้มกับผิว เราจะได้กลิ่นนำ (TOP NOTE) เป็นกลิ่นสดชื่นจะจางหายไปอย่างรวดเร็วหลังจากนั้นเราจะได้กลิ่นกลาง (MIDDLE NOTE) เมื่อกลิ่นนำระเหยไปหมดแล้ว กลื่นกลางนี้จะเป็นกลิ่นเนื้อแท้ของน้ำหอมและหลังจากนั้นจะได้กลิ่นหลัก (BASE NOTE)ซึ่งประกอบด้วยส่วนผสมที่ระเหยยาก เช่น MUSK VANILLA SANDALWOOD กลิ่นหลักนี้จะติดทนที่สุด

น้ำหอมคือส่วนผสมที่ปรุงให้เข้ากันอย่างดีจากธรรมชาติ และสารเคมีที่สังเคราะห์ขึ้นตามความคิดสร้างสรรค์ การสื่อความหมาย และชนิดของวัตถุดิบนำมาปรุงโดยนักปรุงน้ำหอม(Perfumer)ไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนในสัดส่วนของการ การปรุง
บางทีอาจมีส่วนผสมเพียง 1- 2 ชนิด หรืออาจจะมีมากเป็นร้อยชนิดก็ได้
น้ำหอมแต่ละชนิดถูกปรุงมาเพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกัน เช่นน้ำหอมสำหรับบุรุษ หรือสตรี
และยังมีการจำเพาะเจาะจงลงไปในรายละเอียดอีกด้วย เป็นต้นว่าน้ำหอมสำหรับอิสตรีผู้มีความอ่อนโยนแต่แฝงไว้ด้วยพลังอันเข้มแข็งผู้ปรุงน้ำหอมจะต้องจดจำกลิ่นต่างๆที่ผ่านเข้ามาในโสตประสาท และสามารถจำแนกกลิ่นต่างๆได้เป็นอย่างดี ตลอดจนการสื่อความหมายของกลิ่นแต่ละกลิ่นและที่สำคัญคือการเข้าถึงอารมณ์ของผู้ใช้ด้วย เรียกว่าเป็นศาสตร์และศิลป์ขั้นสูง จึงได้มีสถาบันสอนการปรุงน้ำหอมเกิดขึ้นในต่างประเทศ ผู้เรียนต้องใช้เวลาปลายปีเพื่อที่จะได้เป็นนักปรุงน้ำหอม
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกว่าจะมาเป็นน้ำหอมให้เราได้ใช้ในชีวิตประจำวัน

กลิ่นหอมระเหย เมื่อเราสูดดมเข้าไปแล้ว สามารถเหนี่ยวนำให้เกิดความรู้สึก (Perception) ได้ต่างๆ นานา ตามแต่ชนิด ของกลิ่นหอมระเหยนั้น นักวิจัยพบว่า กลิ่นหอมสามารถทำให้ผู้สูดดมระลึกถึง เหตุการณ์ในอดีต หรือเหตุการณ์ในวัยเด็กได้ เป็นที่น่าแปลกใจว่า ถึงแม้คนทั่วไป ต่างยอมรับว่า กลิ่นหอมระเหย มีผลต่อความรู้สึก อารมณ์ และความทรงจำ แต่กลับพบว่า มีนักวิจัยศึกษาเรื่องนี้น้อยมาก ในขณะที่ภาคธุรกิจต่างนำน้ำมันหอมระเหย (Essential Oils) ไปใช้ในการนวดในสปา ที่เรียกกันว่า สุคนธบำบัด (aromatherapy) โดยเชื่อว่า การสูดดมน้ำมันหอมระเหยเข้าไป จะช่วยให้เกิดความรู้สึกต่างๆ ได้ ขอยกตัวอย่าง น้ำมันหอมระเหยที่ สปา ต่างๆ นิยมใช้กัน ได้แก่ (right picture from www.worth1000.com)
กลิ่นตะไคร้ (Lemongrass) ทำให้รู้สึกสดชื่น หายอ่อนเพลีย
กลิ่นมะนาว (Lemon) ทำให้รู้สึกสดชื่น กระตุ้นการตื่นตัว
กลิ่นลาเวนเดอร์ (Lavender) ช่วยให้ผ่อนคลาย ลดความตึงเครียด
กลิ่นมะลิ (Jasmine) ช่วยให้รู้สึกอ่อนหวาน ละมุนละไม
กลิ่นส้ม (Orange) ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด และเพิ่มความสดชื่น
กลิ่นกุหลาบ (Rose) เป็นกลิ่นเบาๆ สบายๆ ทำให้รู้สึกหวาน และอารมณ์รัก
กลิ่นเปปเปอร์มิ้นท์ (Peppermint) กลิ่นหอมเย็น ทำให้เกิดความสดชื่น และกระปรี้กระเปร่า

 

ccoo

พิษภัยจากน้ำหอม

กลิ่นอะไรนะ ? หอมจัง ? เป็นคำพูดที่ใคร ๆ หลายคนมักบอกกับตัวเองเมื่อเวลาเดินผ่านใครบางคน โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นทั้งหลายที่มีกลิ่นหอม และกลิ่นนั้นจะเป็นกลิ่นอะไรไปไม่ได้นอกจากกลิ่นน้ำหอมที่ใช้เพิ่มเสน่ห์ให้กับตัวคุณ ปัจจุบันวัยรุ่นหันมาใส่ใจและดูแลตัวเองกันมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของความสวยความงาม และการเติมเสน่ห์ให้กับตัวเอง โดยการใช้น้ำหอมที่นิยมกันอย่างแพร่หลายไม่ว่าจะเป็นเพศไหน วัยไหนก็ตาม น้ำหอมก็ถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นในการ ช่วยเสริมสร้างบุคลิกให้ดูดี มีเสน่ห์ และยังช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้เป็นอย่างดี แต่เนื่องจากวัยรุ่นส่วนใหญ่ค่อนข้างที่จะนิยมใช้น้ำหอมยี่ห้อที่มีชื่อเสียงขณะที่ยังอยู่ในวัยเรียน จึงส่งผลให้พวกเขาต้องขวนขวายหาเงินจำนวนมากเพื่อนำมาซื้อน้ำหอมราคาแพงและในที่สุดก็ต้องรบกวนพ่อแม่ที่หาเงินส่งลูกแทบตัวเป็นเกลียว น้ำหอมไม่ใช่ว่าจะมีแต่ประโยชน์ แต่โทษของน้ำหอมก็มี อย่างเช่น มีรายงานข่าวจาก สำนักข่าว เอ เอฟ พี จากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา ถึงผลการศึกษาของกลุ่มนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในสหรัฐอเมริกา ระบุว่า เครื่องสำอางชื่อดังที่วางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าทั่วโลก มีสารอันตรายเจือปน สามารถทำให้สตรีคลอดลูกออกมาพิการได้ สารอันตรายดังกล่าวมีชื่อว่า “ ฟาทาเลตส์ ” เป็นสารเคมีที่ใช้ละลายผสมในน้ำหอมและเครื่องสำอางเพื่อทำให้น้ำหอมมีกลิ่นติดทนนาน โดยกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้านสุขอนามัยแห่งสหรัฐอเมริกาได้นำผลิตภัณฑ์ความงามที่วางจำหน่ายในตลาดไปทดสอบแล้วพบว่าในน้ำหอมมีสาร “ ฟาทาเลตส์ ” เจือปนอยู่ในผลิตภัณฑ์ถึงร้อยละ 72 ในจำนวนผลิตภัณฑ์ที่นำมาทดสอบพบว่ามีเครื่องสำอางยี่ห้อดังระดับโลกหลายยี่ห้อรวมอยู่ด้วย เอ เอฟ พี ระบุว่า เครื่องสำอางที่ตรวจพบสาร “ ฟาทาเลตส์ ” เช่น น้ำหอมพอยซั่น ของคริสเตียน ดิออร์ นอกจากนี้ ยังพบในเครื่องสำอางยี่ห้อคาลวิน ไคลน์ ( Calvin Klein) , เรฟลอน ( Revlon) และพร็อคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล หรือ พี แอนด์ จี( Procter :Gamble) ในผลการศึกษาระบุว่า ผลิตภัณฑ์น้ำหอมน่าเป็นห่วงที่สุด เพราะมีสาร “ ฟาทาเลตส์ ” อยู่ในปริมาณมาก อาทิ น้ำหอมเรด ดอร์ ( Red door) ของเอลิซาเบธ อาร์เดน โดยพบสาร “ ฟาทาเลตส์ ” ในปริมาณ 28,000 ต่อ 1 ล้านส่วนของปริมาณน้ำหอม
ทางด้านนักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยทูเลน ( Tulane University ) เมืองนิวออรีนส์ สหรัฐอเมริกา พบว่ามีน้ำหอมจำนวน 38 ชนิดที่สามารถสร้างปัญหาให้ระบบทางเดินหายใจของผู้ป่วยที่เป็นโรคหอบหืด ( Asthma) โดยน้ำหอมที่สร้างปัญหาให้มากที่สุดคือ ยี่ห้อ Red , Charlie , White , Diamonds , Giorgio , Opium และ Poison นอกจากนี้ยังพบสารเคมีอันตรายชนิดอื่นที่ถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมในน้ำหอม เช่น “ เอซิโทน ( Acetone ) ” น้ำยาไวไฟสูตร C3H6O ใช้เป็นยาละลายสารอื่น ซึ่งเป็น “ คาร์ซิโนเจน ” ( carcinogen ) สารที่ก่อให้เกิดมะเร็งมักใส่ในน้ำยาล้างเล็บ และ “ เบนซิล เอซิเตต ” ( Benzyl acetate ) เป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งอีกตัวที่สร้างความระคายเคืองให้นัยน์ตาและทำให้หายใจไม่ออก ซึ่งถ้าคุณเคยมีปฏิกิริยาเวลาได้กลิ่นน้ำหอม เช่น จาม เวียนศีรษะ และหายใจไม่ค่อยออก แสดงว่าคุณอาจเป็นโรคหอบหืดหลบใน
ถึงแม้ว่าน้ำหอมจะมีทั้งประโยชน์และโทษควบคู่กัน สำหรับคนที่ชื่นชอบน้ำหอมและต้องการเพิ่มความมั่นใจให้กับตนเองก็ยังคงนิยมใช้อยู่ แต่มักจะไม่ค่อยทราบหรือสนใจเกี่ยวกับโทษที่ตามมาของมันสักเท่าไหร่ จะคิดแต่ว่าใช้แล้วให้ผลกับเราอย่างไร มากกว่า ส่วนการใช้น้ำหอมก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแต่ละคนว่าชอบหรือไม่ชอบ ซึ่งเราก็สามารถหลีกเลี่ยงกับน้ำหอมที่มีอันตรายได้ และสามารถที่จะเลือกให้เข้ากับบุคลิก หรือลักษณะนิสัยของตัวเองได้ เพราะไม่ว่าใครก็อยากมีกลิ่นหอมประจำตัวกันทั้งนั้น และไม่ว่าน้ำหอมนั้นจะมีราคาถูกหรือแพง จะเป็นหัวน้ำหอมแท้ หรือน้ำหอมที่ได้รับการเจือจางแล้วก็ตาม ก็ต้องจะพิจารณาก่อนที่จะเลือกซื้อเพื่อให้ได้ผลตอบแทนคุ้มค่ากับเงินที่เสียไป และไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นแล้วเวลาที่ใช้น้ำหอมควรคิดถึงคนรอบข้างด้วย เช่น คำนึงถึงคนรอบตัวที่แพ้น้ำหอม หากเราใช้กลิ่นที่ฉุนหรือใส่ปริมาณมากเกินไป อาจทำให้คนเหล่านั้นเกิดอาการจามเนื่องจากการแพ้ได้

 

ที่มา:http://www.nitadebangkok.com/

ด.ญ จริณภรณ์ ผ่องผึ้ง เลขที่ 24 ห้อ’ ม. 204 โรงเรียนเถินวิทยา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *